คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

อุ้มอิ้ม FM

บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

การดูแลผิวหน้าขั้นพื้นฐาน

การดูแลผิวหน้าขั้นพื้นฐาน


การล้างหน้า
การล้างหน้าเป็นวิธีขจัดคราบสกปรก คราบเหงื่อ คาบเครื่องสำอาง ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือตอนเช้ากับตอนเย็น ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดผิวหน้ามีหลายชนิดให้เลือก เช่น สบู่ โลชั่น โคลด์ครีม น้ำมัน เจล หรือครีมที่ใช้กับน้ำ ควรพิถีพิถันในการล้างหน้าในตอนเย็น เพราะหน้าสัมผัสกับสิ่งสกปรกตลอดทั้งวันมากกว่าตอนเช้า
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้ามีทั้งชนิดที่มีฟองและไม่มีฟอง ทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่า ชนิดมีฟองทำให้เกิดสารตกค้างบนใบหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน ผิวแห้ง หยาบ อีกทั้งสารที่ตกค้างจะเป็นตัวทำลายเซลล์ผิวอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ควรมีค่า pH 5-5.5 เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายบอบบางคนผิวมันควรใช้แบบชนิดเจล ส่วนคนผิวแห้งควรใช้แบบประเภทโฟมสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายบอบบางคนผิวมันควรใช้แบบชนิดเจล ส่วนคนผิวแห้วควรใช้แบบเภทโฟมสำหรับผู้ที่ล้างหน้าด้วยสบู่ ควรเลือกสบู่ที่มีความอ่อนโยนและทำให้เกิดระคายเคืองน้อยที่สุด ที่สำคัญคือถูหน้าเบาๆ
ครีมบำรุง
หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว บำรุงผิวให้ผิวหน้ามีสุขภาพดีดูอ่อนกว่าวัย สดใส เปล่งปลั่ง ด้วยวิธีง่าย ๆ สำหรับคุณดังนี้
ครีมวิตามิน C
นำวิตามิน C ชนิดไม่แต่งกลิ่น (ไม่ใช่แบบชนิดอม) มาบดให้ละเอียด ใช้ทีละเม็ด จากนั้นนำวิตามิน C ผงมาผสมกับครีมทาหน้า ใช้เพียงแค่ปลายเล็บ วิตามิน C ช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็ง ลดรอยหมองคล้ำ ช่วยทำให้ใบหน้าขาว สดใส
น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกทำหน้าที่ในการนำพาโมเลกุลของน้ำในโลชั่นซึมผ่านน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ช่วยปกป้องผิวตามธรรมชาติ ช่วยป้องกันผิวไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ และปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอกนอกจากนี้ น้ำมันมะกอกยังทำหน้าที่ยับยั้งการอักเสบของสิว ช่วยให้หัวสิวอ่อนนุ่มลง การใช้น้ำมันมะกอกได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยโมเลกุลของน้ำในโลชั่นทาผิว ช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ และช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาแอนติออกซิเดชันทำให้จุดด่างดำและฝ้าค่อย ๆ จาง


ครีมวิตามิน E
ใช้วิตามิน E ชนิดแคปซูล จากนั้นนำเข็มที่สะอาดมาเจาะบีบเอาวิตามิน E ออกมาแต่พอประมาณที่ใช้ ผสมกับครีมที่ใช้ แล้วทาลงบนใบหน้า จะช่วยทำให้ผิวไม่แห้งดูเต่งตึงและยังดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย
การพอกหน้า
การพอกหน้าจะช่วยขจัดสิ่งอุดตันบนใบหน้าช่วยให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไป ลดการเกิดสิว ทำให้เลือดลมที่ผิวหน้าหมุนเวียนดี ผิวจึงเนียนนุ่มชุ่มชื้น คนผิวมันเหมาะสำหรับการพอกด้วยโคลน คนผิวแห้งเหมาะสำหรับการพอกด้วยน้ำนม และผลไม้ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ส่วนผิวผสมควรพอกบริเวณทีโซน เพราะเป็นบริเวณที่ผิวมันมากกว่าปกติ ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การอบไอน้ำ
การอบไอน้ำเป็นวิธีการชำระสิ่งสกปรกใบหน้าได้อย่างล้ำลึก วิธีนี้คนที่เป็นสิวใช้ได้ดีการอบไอน้ำเหมาะสำหรับทุกสภาพผิวโดยการหาน้ำร้อนมาเทใส่ชาม จากนั้นก้มหน้าลงไปให้สัมผัสกับไอน้ำทำประมาณ 10 นาที หากต้องการความสดชื่น หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์ มะนาว มะกรูด (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) ลงไปและใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การขัดหน้า
การขัดหน้าเป็นการขัดเซลล์หนังกำพร้าที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ผิวจะเรียบเนียนและใสขึ้น การขัดหน้าจะช่วยทำให้ครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็ว วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวลุกลาม วิธีขัดให้หมุนไปรอบ ๆ ใบหน้า และลำคอเว้นรอบดวงตาและปาก ไม่ควรขัดแรง ๆ เพราะจะทำให้แสบหน้าควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับคนผิวแห้งและผิวผสม ส่วนสำหรับคนผิวมันควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
การมาสก์หน้า
การมาสก์หน้าเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาผิวหน้าให้มีสุขภาพดีช่วยในการบำรุงผิวให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง กระชับรูขุมขนให้เรียบเนียน การมาสก์หน้ามีทั้งวิธีการใช้ครีมมาสก์ และมาสก์หน้าด้วยวิธีทางธรรมชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและคามต้องการของผู้ใช้ ครีมมาสก์หน้ามีอยู่ด้วยกันมากมายหลายยี่ห้อหลายราคา ตั้งแต่ราคาถูกจนถึงราคาที่สูงมาก การเลือกใช้ครีมมาสก์ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเรา เพื่อจะได้ไม่ก่อให้เกิดผมข้างเคียง เช่น สิว ตามมา หรืออาจเกิดการระคายเคืองผิวหน้าการมาสก์หน้าด้วยวิธีทางธรรมชาตินอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวดูสดใสอ่อนเยาว์อย่างได้ผลดีอีกด้วย

ผิวสวย ผิวสาว ไม่กลัวฝน

ผิวสวย ผิวสาว ไม่กลัวฝน
ผิวสวย

ในช่วงฤดูฝน หลายคนก็คงมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป

บางคนอาจคิดถึงบรรยากาศอันชุ่มฉ่ำเย็นสบายคลายร้อน แต่ก็มีอีกหลายคนที่คิดถึงความเปียกชื้นไม่สบายตัว ช่วงฤดูฝนในประเทศไทยมักจะมีอากาศร้อนสลับกับเย็น รวมถึงความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น เป็นผลให้เกิดปัญหาทางสุขภาพหลาย ๆ อย่างตามมา ได้แก่ ไข้หวัด โรคภูมิแพ้ แล้วจะเตรียมตัวรับกับปัญหาสุขภาพกันอย่างไรดี
   
ปัญหาทางด้านผิวหนังและผิวพรรณก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน

สำหรับคุณผู้หญิงแล้วปัญหาสุขภาพผิวนั้นถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาสุขภาพทางด้านอื่น ๆ ในฤดูฝนหลายคนอาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่ต้องดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษอะไรมาก เหมือนในฤดูร้อนที่มักจะมีเหงื่อออกทำให้รู้สึกผิวเหนียวเหนอะหนะ แต่จริง ๆ แล้วในฤดูฝนก็มีสิ่งที่ทำร้ายผิวสวยได้เช่นกัน คุณผู้หญิงทราบกันไหมว่า น้ำฝนที่ตกลงมาจากฟ้านั้นมักจะมีฝุ่นละออง สารเคมี รวมถึงเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากมายเจือปนอยู่ หากเราสัมผัสน้ำฝนสิ่งที่ปนเปื้อนมาเหล่านั้นย่อมทำอันตรายกับผิวของเราได้ เมื่อผิวหนังของเรามีความเปียกชื้นจะทำให้ความสามารถในการป้องกันเชื้อโรคและการปรับตัวต่อปัจจัยกระทบภายนอกต่าง ๆ สูญเสียไป ทำให้เกิดปัญหาทางด้านผิวหนังตามมาได้มากมาย เช่น สิว โรคเชื้อรา โรคน้ำกัดเท้า ผื่นผิวหนังอักเสบ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงจึงควรเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับเราอยู่เสมอ
   
สำหรับการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ เมื่อคุณผู้หญิงตากฝนจนผมเปียก การเช็ดผมหรือปล่อยให้แห้งเองนั้นยังไม่เพียงพอ

จึงขอแนะนำว่าควรสระผมเลยจะดีกว่า เนื่องจากในน้ำฝนอาจมีเชื้อไวรัสปนเปื้อนมาด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่เวลาเราตากฝนแล้วมักจะเป็นหวัด การสระผมจะเป็นการล้างเอาเชื้อไวรัสออกจากเส้นผม หลังจากสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมหรือไดร์ให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะมีความชื้นและก่อให้เกิดเชื้อราได้ เชื้อราจะชอบอาศัยอยู่ในที่อับชื้น ข้อสังเกตว่าคุณผู้หญิงอาจมีการติดเชื้อราบนศีรษะคือ มีสะเก็ดแห้ง ๆ บนหนังศีรษะ มีอาการคันศีรษะ เส้นผมบริเวณนั้นหักออกเหลือเป็นตอสั้น ๆ ติดหนังศีรษะ ในบางคนอาจมีอาการอักเสบรุนแรงจนถึงเป็นก้อนคล้ายฝี และมีความเจ็บปวดร่วมด้วย ถ้านำผมบริเวณนั้นไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็จะพบว่ามีสายรา หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวคุณผู้หญิงก็ควรจะไปพบแพทย์ทันที

ผมสวยอย่างเดียวก็คงไม่เพียงพอ ผิวพรรณก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณผู้หญิงจำเป็นต้องสนใจ ถึงแม้ว่าในฤดูฝน

การดูแลรักษาผิวจะง่ายกว่าการเผชิญกับอากาศแห้งในฤดูหนาว หรือแดดร้อนมีเหงื่อออกมากในฤดูร้อน ปัญหาผิวที่พบบ่อยคือการเป็นสิวเพิ่มขึ้น ในฤดูฝน ความชื้นในอากาศที่สูงจะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวเจริญเติบโตได้ดี ประกอบกับเมื่อผิวหน้าสัมผัสน้ำฝนที่มี เชื้อโรค ฝุ่นละอองหรือสารเคมี ก็จะยิ่งทำให้เกิดสิวได้ง่าย
   
การดูแลผิวหน้าควรเริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้า โดยล้างหน้าเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง

เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน และหลีกเลี่ยงการขัดหรือถูหน้าอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง หากมีสิวห้ามกดหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะทำให้สิวแย่ลง และเกิดรอยแดง รอยดำ รวมถึงแผลเป็นจากสิวได้ เรื่องอื่นๆเกี่ยวกับใบหน้าที่อยากฝากเพิ่มเติมก็คือ หากใบหน้าเปียกฝน ควรล้างออกโดยเร็วด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรขยี้ตาในขณะที่ใบหน้าหรือมือเปียกฝน เพราะน้ำฝนมีสิ่งปนเปื้อนมากมาย อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้
   
หากเสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกฝน ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกฝนจะมีเชื้อโรคปะปนอยู่ด้วย อาจก่อให้เกิดโรคเชื้อราที่ผิวหนังได้

สำหรับเสื้อผ้าที่เปียกชื้นนาน ๆ ควรนำไปผึ่งแดดให้ร้อนจัด หรือรีดด้วยเตารีด จะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ และควรอาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกหลังจากที่เปียกฝน ลักษณะผื่นที่คุณผู้หญิงควรสังเกตได้แก่ วงด่างสีขาวหรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาลร่วมกับมีขุยสีขาวเล็ก ๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ นอกจากดูไม่สวยงามแล้วยังทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน
  

เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไปแต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น ในคนที่มีน้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก โดยสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา หากมีอาการเหล่านี้ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาต่อไป
   
อีกสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงที่ฝนตกมากคือ การมีน้ำท่วมขัง ทำให้คุณผู้หญิงต้องเดินย่ำน้ำชื้นแฉะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากปล่อยให้เท้าเปียกเป็นเวลานาน อาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ เปื่อยยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะ เรียกว่าโรคน้ำกัดเท้า บางครั้งอาจมีการติดเชื้อราที่เท้าได้ โดยแหล่งของเชื้อราจะมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว หากไม่รักษาผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ สิ่งที่ต้องสังเกตอีกอย่างคือกลิ่นเท้า เวลาถอดรองเท้า หากมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา ก้มดูที่ฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็ก ๆ ซึ่งเป็นอาการของโรคเท้าเหม็น สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในคุณผู้หญิงที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนา ๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

นอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด ซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง หรือ อาจได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็กๆที่เท้า ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรง ข้อแนะนำเบื้องต้นคือหากหลีกเลี่ยงได้คุณผู้หญิงไม่ควรย่ำน้ำที่ท่วมขัง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรที่จะล้างทำความสะอาดเท้าด้วยการฟอกสบู่ ล้างด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งโดยเร็ว อย่าปล่อยให้เท้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน ถ้ามีแป้งฝุ่นให้ทาบาง ๆ ตามซอกเท้าและฝ่าเท้าเล็กน้อย เมื่อถุงเท้าและรองเท้าเปียกฝน ควรถอดออกทันทีเมื่อมีโอกาสและทำให้แห้งโดยเร็ว สำหรับรองเท้าที่เปียกน้ำนั้นแนะนำให้ไปตากแดดให้แห้ง หากคุณผู้หญิงมีอาการที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคที่เท้าดังที่กล่าวมาแล้วก็ควรที่จะไปปรึกษาแพทย์โดยทันที
   
คุณผู้หญิงจะเห็นว่าสาเหตุของปัญหาผิวพรรณในฤดูฝนส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนที่มีการปนเปื้อน หรือการปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน

การป้องกันที่สำคัญอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการตากฝน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ควรรีบถอดเสื้อผ้าที่เปียกออก แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย หลังจากนั้นควรเช็ดตัวให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ นอกจากนี้การเลือกเสื้อผ้าและถุงเท้า ก็ควรเลือกที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไปเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี
   
การมีผิวพรรณที่นวลเนียนสดใส ล้วนเป็นยอดปรารถนาของผู้หญิงทุกคน หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเตรียมรับมือกับทุกฤดูฝน ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝนนี้หรือฤดูฝนไหน ฝนเมืองไทยปีนี้คงจะทำให้ชุ่มฉ่ำกันไม่มากก็น้อย ถึงตรงนี้ ก็ขอให้คุณผู้หญิงมีสุขภาพผิวพรรณที่สวยสดใสและน่ามองกันไปนาน ๆ.

เกรปฟรุตผลไม้ดีมีประโยชน์

เกรปฟรุตผลไม้ดีมีประโยชน์

คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะ เกรปฟรุตผลไม้ทีมีหน้าตาคล้ายส้มโอมีประโยชน์มากมาย ลองมาดูประโยชน์ที่เรานำมาฝากกันดูนะคะ เพื่อคุณผู้หญิงหลายๆ คนเห็นประโยชน์แล้วจะ ปิ๊งไอเดียรีบไปซื้อมาทาน

grapefruit_small

ประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณ : ทุกวันนี้การเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยบำรุงผิวและร่างกายโดยตรงแล้ว การที่่คุณผู้หญิงคั้นน้ำเกรปฟรุตคั้นสดๆ ไว้ทานนั้น ยังทำให้คุณผู้หญิงได้รับวิตามินซีที่อยู่ในน้ำเกรปฟรุตนั้นอีกด้วย ซึ่งน้ำเกรปฟรุตนั้นสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของผิว ที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณผู้หญิงดูเปล่งปลั่ง สดใสและอ่อนเยาว์ ดูมีน้ำมีนวลด้วยค่ะ
ทำให้ยิ้มสวย : เหงือกที่สุขภาพดีและรอยยิ้มที่แสนสวยนั้นมักจะไปด้วยกันเสมอ และประโยชน์ก็คล้ายกับข้อแรกนั่นแหละ วิตามินซีในเกรปฟรุตจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในเหงือกของคุณผู้หญิงหด้วย
ช่วยให้เท้าหอม : ด้วยการผสมเกลือทะเลครึ่งถ้วยเข้ากับขิงสดขูดให้ได้ 1 ช้อนโต๊ะ เนื้อเกรฟฟรุ้ต 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันงาหรือน้ำมันอัลมอนด์ 1 ถ้วย จากนั้นก็นำไปขัดเท้าตามปกติ ถ้าใช้ไม่หมดก็เก็บไว้ในตู้เย็นได้ถึง 3 สัปดาห์

เคล็ดลับน่ารู้ เรื่องในครัว สำหรับสาวยุคใหม่

เคล็ดลับน่ารู้ เรื่องในครัว สำหรับสาวยุคใหม่
ครัว
          
 สาว ๆ ยุคใหม่ที่มีชื่นชอบการเข้าครัว โชว์เสน่ห์ปลายจวักยามว่าง หลายคนอาจจะประสบปัญหาที่ทำให้ต้องกลุ้มใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอาหาร หรือว่าปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในครัว ที่ทำอย่างไรก็แก้ไม่หายสักที วันนี้เรามีเคล็ด(ไม่)ลับ เกี่ยวกับของใช้ในครัวเรือนมาฝากกันค่ะ ขอบอกว่า แต่ละเคล็ดลับนั้น เป็นประโยชน์ให้กับสาว ๆ ที่ชื่นชอบการเข้าครัวอย่างมากเลยทีเดียว

กระทะของคู่ครัว

           เชื่อได้เลยว่าหลาย ๆ คนต้องหงุดหงิดเกี่ยวกับปัญหาที่แก้ไม่ตกของ "เจ้ากระทะ" กันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น อาหารติดกระทะ หรือว่า กลิ่นคาวที่ไม่ว่าจะล้างสักกี่รอบ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายคาวกลิ่นก็ยังเหม็นโฉ่เหมือนเดิม หรือว่าจะเป็นปัญหากระทะขึ้นสนิม ..อ่ะ ๆ อย่ารอช้า ไปดูเคล็ดลับเด็ด ๆ จัดการเจ้ากระทะตัวปัญหากันเลย

ทำยังไงดีน้า...อาหารติดกระทะล้างไม่ออก

              เคล็ดลับ: ตั้งไฟให้ร้อน แล้วโรยเกลือลงไปพอประมาณ ทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นเอาตะหลิวคลุกเขี่ยเกลือให้ทั่วกระทะ  แล้วก็ทำความสะอาดกระทะอีกรอบหนึ่ง  คราวนี้แหละ ไม่ว่าจะทำอาหารอะไร ก็ต้องกังวลกับปัญหาติดกระทะแล้วล่ะ

เฮ้อ..ล้างกระทะหลายรอบแล้ว กลิ่นคาวยังติดอยู่เลย

             เคล็ดลับ : บีบมะนาวลงไปในน้ำมันที่ใช้ทอด จากนั้นเทน้ำมันทิ้งแล้วเช็ดคราบออก
             เคล็ดลับ : ใช้น้ำชาชงแก่ ๆ ล้างแทนน้ำเปล่า
             เคล็ดลับ :  ถ้าหากกระทะติดเศษอาหารที่ไหม้ ให้โรยเบ็คกิ้งโซดาให้ทั่ว จากนั้นใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน เทลงในกระทะ
             เคล็ดลับ : ใช้เบ็คกิ้งโซดาผสมน้ำ แช่กระทะค้างคืนไว้แล้วล้างออก

กระทะขึ้นสนิม O_O !!

             เคล็ดลับ : ตั้งไฟให้กระทะร้อนจัด แล้วนำหนังหมูติดมันกับต้นกุ่ยช่าย 1 กำ มาทาถู ๆ ให้ทั่วกระทะ จนกุ่ยช่ายมีสีเหลือง จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาด

          และนอกจากวันนี้จะมีวิธีแก้ปัญหาใหญ่อย่างกระทะมาฝากกันแล้ว เราก็ยังมีเคล็ดลับสำหรับเครื่องครัวอื่น ๆ พร้อมเทคนิคเด็ด ๆ ของการทำอาหารต่าง ๆ มาบอกต่อกันอีกด้วย
       
         มีดขึ้นสนิม - ใช้เปลือกมะนาวสดที่เราบีบน้ำออกแล้ว ไปถูที่มีด หรือจะผ่าหอมหัวแดงออก แล้วไปทาที่มีดบริเวณที่เป็นสนิมเบา ๆ หรือทาให้ทั่วมีดก็ได้  สนิมก็จะหลุดออกมาโดยง่าย

         กาต้มน้ำมีตะกรัน  -  หากมีไม่มาก ให้ลองเอาเปลือกหอยใส่ลงในกาต้มน้ำ จากนั้นตั้งไฟให้เดือด 5 นาที  แล้วปล่อยให้เย็น  ตะกรันก็จะย้ายมาจับที่เปลือกหอยแทน  แต่ถ้ามีตะกรันมาก ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำในปริมาณเท่า ๆ กัน เทใส่กาต้มน้ำตั้งไฟให้เดือด แล้วทิ้งค้างไว้ 1 คืน ตอนเช้าค่อยมาล้างให้สะอาด แค่นี้ตะกรันก็จะหลุดออกมาโดยง่าย

         กำจัดกลิ่นในเตาไมโครเวฟ  -  ให้นำใบชาใส่น้ำพอท่วม ใส่เข้าไปในตู้ไมโครเวฟแล้วเปิดเครื่องให้น้ำร้อนสัก 3 นาที จากนั้นปล่อยใบชาทิ้งไว้ในตู้ทิ้งข้ามคืน ถึงรุ่งเช้ากลิ่นก็จะหายไป แต่หากกลิ่นสะสมมานาน อาจจะต้องทำหลายรอบ  ทางที่ดีควรหมั่นทำความสะอาดและดูดกลิ่นเป็นประจำจะดีที่สุด หรือหากจะใช้อีกวิธีก็ได้คือ ใส่น้ำในชามที่ใช้กับไมโครเวฟได้ 1 แก้ว แล้วใส่ดอกไม้หรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมลงไป จากนั้นนำไปใส่ในเตาเปิดเครื่องไว้สัก 7 นาที แล้วเปิดฝาออก กลิ่นหอมก็จะอบอวลไปทั่วห้อง เป็นการกำจัดกลิ่นที่รวดเร็วขึ้น

         วิธีเก็บข้าวกล้องไม่ให้เป็นมอด  -  เมื่อซื้อมาแล้ว เขาให้เรานำไปเก็บไว้ในตู้เย็นทันที  โดยเก็บในช่องธรรมดาสัก 5 วัน แล้วค่อยนำออกมาไว้ข้างนอก จะช่วยกันมอดได้ หรือใช้เกลือป่นโรยในข้าวกล้องที่ซื้อมา 1 ช้อนชาต่อข้าว 1 กิโลกรัมก็ได้

         วิธีต้มกล้วยไม่ให้ดำ  -  เมื่อจะต้มกล้วยน้ำว้า เขาให้เราใส่กิ่งมะขามที่มีใบติดอยู่ลงไปต้มพร้อมกล้วยเลย สัก 3 กิ่ง แค่นี้ก็สามารถต้มกล้วยให้ขาวได้แล้ว

         ขจัดกลิ่นฉุนขณะผัดอาหาร  -  เวลาที่ปรุงอาหารด้วยหัวหอม กระเทียมหรืออาหารอื่นที่มีกลิ่นฉุนไปทั้งบ้าน หากจะดับกลิ่นเหล่านี้  สามารถทำได้ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูรินใส่ถ้วยวางไว้ใกล้ ๆ กับเตาที่เราใช้ผัดอาหารนั่นแหละ เขาบอกว่าวิธีนี้จะช่วยดับกลิ่นฉุนของอาหารที่เราทำได้โดยเร็วเลยแหละ  แต่ถ้าทำอาหารแล้วกลิ่นคาวไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกุ้งหอย ปูปลา ติดมือให้ใช้ใบชาชงกับน้ำร้อน  ล้างมือ  ยิ่งแก่ยิ่งดับคาวได้ดี (แต่อาจเปลืองใบชาสักหน่อย) และถ้ามีเปลือกมะนาวก็ใส่ลงไปด้วยสัก 3 ชิ้นก็จะช่วยขจัดกลิ่นคาวได้ดี   เวลาใช้ควรใช้ตอนน้ำชากำลังอุ่น ๆ จึงจะได้ผลดี

         คั้นกะทิให้ได้ความมัน  -  เขาก็มีเคล็ดลับว่าให้โรยเกลือป่น 1 ช้อนชาลงในมะพร้าวที่จะคั้น คลุกเคล้าให้ทั่ว แล้วค่อยคั้นน้ำ ความเค็มนี่แหละที่จะช่วยรีดความมันให้ออกมาอย่างรวดเร็ว

         วิธีแกะกุ้งขนาดเล็กมาก ๆ   -  ซึ่งมักจะแกะยาก เพราะติดเปลือก  วิธีแกะให้ง่ายเข้าคือ ให้เอากุ้งที่ว่าไปลวกเสียก่อน  แล้วค่อยมาแกะ  จะทำให้แกะกุ้งตัวเล็กตัวน้อยได้สะดวกขึ้น

         ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่มกินอร่อย  -  ไม่ใช่เรื่องยาก   เวลาเราตีไข่ให้หยอดน้ำมะนาวลงไปในไข่สัก 5 หยด แล้วตีให้เข้ากัน  พอตีไข่เสร็จ เทลงกระทะทอดตามปกติ เพียงแค่นี้ไข่เจียวก็จะฟูและอ่อนนุ่มน่ากิน

         วิธีต้มไข่ต้ม  -  ไม่ให้แตก จนดูไม่น่ากิน เขาให้ใส่เกลือ 1 ช้อนชาลงในน้ำที่จะต้มไข่  ไข่ก็จะไม่แตกหรือไม่ทะลักเล็ดออกมาอีกต่อไป แต่ไม่ควรต้มเกิน 10 นาที เพราะจะทำให้เนื้อไข่แข็งกระด้าง กินแล้วย่อยยากขึ้น

         ทอดปลาไม่ให้ติดกระทะ  -   วิธีแก้คือ เมื่อน้ำมันในกระทะร้อนพอที่จะทอดปลาแล้ว อย่าเพิ่งใส่ปลาลงไป  แต่ให้ใช้ขิงสดหั่นบาง ๆ สัก 3 ชิ้น ใส่ลงทอดในกระทะก่อน  พอขิงเริ่มเกรียมก็ตักออกไป  แล้วจึงใส่ปลาลงไปทอด ปลาก็จะไม่ติดกระทะอีกต่อไป

         ดับกลิ่นหืนในน้ำมันพืช  -  เมื่อเก็บน้ำมันพืชไว้นาน ๆ บางทีก็มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้อาหารที่นำไปทอดมีรสชาติไม่ดีไปด้วย วิธีแก้ง่าย ๆ คือ เมื่อเทน้ำมันลงในกระทะแล้ว ให้ใส่ใบเตยหรือหอมแดงทุบลงไปด้วย จะทำให้กลิ่นเหม็นหืนของน้ำมันพืชหมดไป และทำให้อาหารที่ทอดมีความหอมและรสชาติดีขึ้นด้วย

         วิธีทอดอาหารให้น้ำมันกระเด็นน้อยลง  -  เขาให้โรยเกลือป่นลงไปในกระทะนิดหน่อย  แค่นี้น้ำมันในกระทะก็จะกระเด็นออกมาน้อยลง  หรือแทบไม่กระเด็นเลย

         วิธีลดความเค็มในแกงจืดหรือแกงกะทิ  -  ซึ่งบางครั้งปรุงแล้วเกิดเค็มเกินเหตุ จะแก้ด้วยการเติมน้ำให้ความเค็มเจือจาง ก็จะทำรสชาติอื่น ๆ จางไปด้วย  อีกทั้งต้องปรุงโน่นเติมนี่ไม่จบง่าย ๆ ดังนั้น หากเราใส่น้ำปลาหรือเกลือในแกงหนักมือไปหน่อย  จนทำให้น้ำแกงเค็มเกินไป สามารถแก้ได้โดย นำข้าวสารที่ล้างสะอาดห่อด้วยผ้าขาวบางให้เรียบร้อย ใส่ลงไปต้มในน้ำแกงเจ้าปัญหาของเรา ทิ้งไว้สักพัก ความเค็มก็จะถูกดูดออกไป  ถ้ารอบเดียวยังเค็มอยู่ ก็อาจทำรอบสอง โดยเปลี่ยนข้าวสารใหม่อีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่รอบเดียวก็หายเค็มแล้ว

         วิธีแก้ความเผ็ด  -  หากกินเผ็ดมากไป จนปากจะพอง ให้ดื่มน้ำหรือน้ำชาอุ่น ๆ ค่อนข้างร้อนหน่อย จะทำให้หายเผ็ดได้เร็วขึ้น หรือจะใช้น้ำปลากลั้วให้ทั่วปากสัก 2 นาทีก็ได้ อาการจะดีขึ้น

ข้อพึงระวังสำหรับการเข้าครัว

        ไม่ควรใช้กระดาษฟอยล์กับอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น มะนาว มะเขือเทศ หัวหอม เป็นต้น เพราะกรดในอาหารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาเคมีกับกระดาษฟอยล์ มีผลให้รสชาติอาหารเปลี่ยน และยังเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย   โดยเฉพาะฟอยล์ที่ใช้แล้วไม่ควรนำมาใช้อีก  โดยเฉพาะการห่ออาหารเพื่อแช่ในตู้เย็น เพราะรอยยับย่นในกระดาษที่ใช้แล้ว จะมีรูเล็กรูน้อยเกิดขึ้น และเป็นตัวการทำให้อากาศจากภายนอกสามารถรั่วเข้าไปในอาหารได้

        อาหารบางชนิดไม่เหมาะกับภาชนะที่ทำด้วยเงิน  เช่น ไข่  เกลือ น้ำมันมะกอก น้ำสลัด น้ำผลไม้คั้น เป็นต้น เพราะผลไม้ หรือดอกไม้บางชนิดมียางเป็นกรด อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนจนผิวภาชนะเงินเป็นรอยได้  เวลาใช้จึงควรมีภาชนะอื่นรองรับอีกทีหนึ่ง

        หวังว่าเคล็ดลับในครัวเรือนเหล่านี้ จะช่วยให้สาวสมัยใหม่ได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเป็นแม่ศรีเรือนที่มี ความรู้คู่ความงามอย่างไม่ล้าสมัยในยุคปัจจุบัน

เคล็ดลับสุขภาพ 4 วิธีสร้างสุขภาพเกรด A

เคล็ดลับสุขภาพ 4 วิธีสร้างสุขภาพเกรด A
สุขภาพ
          
 กิน ดื่ม นอน ถ่าย เป็นกลไกปกติของชีวิตประจำวันมนุษย์ และเป็นต้นทางสู่ความอ่อนแอ ขี้โรค หรือว่าแข็งแรงสดใสด้วย

ใครอยากมีสุขภาพดีๆ โปรดทำตามเคล็ดลับที่จะขอแนะนำทั้ง 4 ประการดังต่อไปนี้
เคล็ดลับของการกิน
              1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก
             2. กินอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดๆ และสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนเป็นสำคัญ
            3. อย่ากินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะหวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด มันจัด หรือเผ็ดจัดก็ตาม  ยกเว้นขมจัด เช่น มะระหรือสะเดา
            4. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และรับประทานช้าๆ อย่ารีบเร่ง
             5. กินอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ดีที่สุด
             6. กินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป
             7. กินผักและผลไม้ให้ติดเป็นนิสัย ผลไม้ไม่ควรหวานจัด
เคล็ดลับของการดื่มนม

           นม เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ คือ แคลเซียม และฟอสฟอรัส จึงช่วยให้กระดูก และฟันแข็งแรง นอกจากนั้น ยังมีโปรตีน น้ำตาลแลคโตส และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 2 ที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานเป็นปกติ นมมีหลายชนิด มีทั้งนมรสจืด และนมปรุงแต่งชนิดต่างๆ ซึ่งให้คุณค่าอาหารใกล้เคียงกัน
          หญิงมีครรภ์ ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว เด็กก่อนวัยเรียน และวัยรุ่น ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง และชะลอการเสื่อมสลายของกระดูก
          สำหรับข้อควรระวัง ก็คือ ก่อนซื้อนมทุกครั้ง ควรสังเกต วัน เดือน ปี ที่ข้างกล่องว่า หมดอายุหรือไม่ ควรเลือกเฉพาะนมที่บรรจุในภาชนะที่ผิดสนิท ภาชนะไม่รั่วซึม หรือบวม นมบางชนิด เช่น นมพาสเจอไรส์ หรือโยเกิร์ต ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส 
          แคลเซียม ที่มีอยู่ในร่างกาย จะจับกับฟอสฟอรัส อยู่ในรูปเกลือแคลเซียมฟอสเฟต โดยเป็นส่วนประกอบของกระดูก และฟัน ถึงร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 อยู่ในเนื้อเยื่อ และในของเหลวของร่างกาย แคลเซียมเป็นสารที่จำเป็น สำหรับทารก และเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ช่วยสร้างเนื้อกระดูกให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน 


          ผู้ใหญ่บางคน ไม่สามารถดื่มนมได้ เนื่องจากดื่มแล้ว เกิดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืด เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ จึงอาจปรับเปลี่ยน วิธีการดื่ม โดยให้ดื่มนมครั้งละน้อยๆ เช่น ? แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือใช้วิธีดื่มนมหลังอาหาร หรือเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต ซึ่งช่วยลดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืดได้ 


          ส่วนนมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง ให้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มได้เป็นประจำเช่นกัน
เคล็ดลับเรื่องการนอนหลับ-พักผ่อน  
          ร่างกายของคนเราทำงานเป็นเวลานานๆ มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ร่างกายจำเป็นต้องการพักผ่อน เพื่อการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และสมอง ให้มีโอกาสในการพักผ่อน หลังการทำงานหนัก การพักผ่อน ทำได้ดังนี้
          การพักผ่อน - อาจทำได้หลายอย่าง เช่น การปลูกต้นไม้ ทำการฝีมือ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น
          การนอนหลับ - เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับอย่างน้อยวันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับทุกคน ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ในอัตราที่รวดเร็ว
          การนอนหลับที่ถูกต้อง คือ การนอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาจะสดชื่น สมองแจ่มใส การนอนหลับสนิท 6 ชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุด 8 ชั่วโมง ก็ถือว่าเพียงพอ
การปฏิบัติตัวเพื่อการนอนหลับสนิท
             1. ก่อนนอนอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด แต่งตัวด้วยชุดหลวมสบาย
             2. ทำจิตใจให้สงบ คิดเรื่องดีๆ ควรสวดมนต์ ไหว้พระตามศาสนาที่ตนนับถือ
            3. นอนในสถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด และสงบ 
            4. นอนหลับให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คืนละประมาณ 6-8 ชั่วโมง

 เคล็ดลับเรื่องขับถ่าย-ท้องไม่ผูก 
          อาการท้องผูกเป็นปากประตูร้ายของโรคต่างๆ ตั้งแต่ลำไส้ระคายเคือง ท้องอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว กลิ่นตัวแรง สิวฝ้า ปากเหม็น มะเร็งลำไส้ ฯลฯ

 วิธีการป้องกันการเกิดอาการท้องผูกด้วยวิธีธรรมชาติ มีหลายวิธี เช่น
             1. กินอาหารที่มีเส้นใยให้มาก คนเราต้องการเส้นใยอาหารวันละ 25 กรัม อาหารที่พึ่งพิงได้มากที่สุดคือ ข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูง 1 ทัพพี มี 3.4 กรัม
             2. กินผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง สะเดา ขนุนอ่อน ใบบัวบก ผักบุ้ง กระถิน ดอกขจร ดอกโสน ผักหวาน ยอดมะยม ผักปลัง ยอดแค ดอกมะรุม ฯลฯ  พึงจำไว้ว่า ผักพื้นบ้านมีใยอาหารมากกว่าผักสวนหรือผักจีน (เช่น คะน้า กวางตุ้ง) แถมปลอดสารเคมีมากกว่าด้วย
             3. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีเส้นใย เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็ง เนื้อสัตว์ แป้งขัดขาว และลูกกวาด
             4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
          การนั่งกินนอนกินทั้งวันจะทำให้ท้องผูก จึงควรออกกำลังกายประมาณ 30 นาที/ครั้ง/วัน เช่น เดิน วิ่ง กายบริหาร ปั่นจักรยาน ฯลฯ เพื่อช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว คลายท้องผูกได้ 
          นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้เส้นใยอาหารพองตัว และฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาด้วย

รองเท้าส้นสูง ใส่อย่างไร ช่วงหน้าฝน

รองเท้าส้นสูง ใส่อย่างไร ช่วงหน้าฝน
รองเท้าส้นสูง

“รองเท้าส้นสูง” ของที่คู่กับผู้หญิงที่อยากดูสูงเพรียวและสวยสมส่วนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องแลกกับความเมื่อย หรือเจ็บปวดอย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งหน้าฝนที่ต้องต่อสู้กับความเฉอะแฉะ และก่อให้เกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้ง่ายก็ตาม คุณผู้หญิงก็ไม่ยั่น
เพื่อสนับสนุนคุณผู้หญิงที่ห่างรองเท้าส้นสูงไม่ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือฤดูกาลใดๆ ก็ตาม น.ส.อังค์สุมาลี แร่กาสิน นักกายภาพบำบัด แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 มีคำแนะนำที่น่าสนใจ


เริ่มจากเราควรจะรู้ว่าปกติคนเราเดินกันวันละ 3,000-5,000 ก้าวโดยเฉลี่ย ส้นรองเท้าที่ยิ่งสูงจะทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกนิ้วเท้าและข้อต่อนิ้วเท้า ทำให้การกระจายแรงที่เกิดจากการเดินผิดเพี้ยนไป เนื่องจากเวลาก้าวเดินปกติ เราจะยกด้านหน้าของเท้าขึ้นประมาณ 10-20 องศา แล้วเริ่มลงน้ำหนักจากส้นเท้า กลางเท้า และบริเวณด้านหน้าเท้า (นิ้วเท้า) แต่เมื่อเราใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้การยกหน้าเท้าน้อยลง ลักษณะการเดินจะคล้ายกับการลากเท้า และน้ำหนักส่วนใหญ่จะไปลงที่บริเวณกระดูกนิ้วเท้ารวมถึงข้อต่อนิ้วเท้า (Metarsal Joint) ซึ่งการกระจายแรงที่ไม่ทั่วถึงทั้งเท้านี้จะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้า หรือการอักเสบของเอ็นที่เท้าตามมาด้วย และการใส่รองเท้าส้นสูงนานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดน่อง เพราะต้องเขย่งบนรองเท้าส้นสูงตลอด ทำให้กล้ามเนื้อน่องต้องทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้การเดินบนรองเท้าส้นสูงจะมีแรงกระแทกมาที่ข้อเข่า มากกว่าการใส่รองเท้าส้นเตี้ยจึงทำให้ปวดเข่า และเป็นสาเหตุให้เข่าเสื่อมได้ระยะยาว

รองเท้าที่เหมาะสำหรับการเดินบนพื้นถนนที่เปียกลื่นอย่างหน้าฝน คือรองเท้าไม่มีส้น และผลิตด้วยวัสดุที่ไม่เปียกน้ำง่าย เช่น รองเท้าบัลเลย์ (Ballet Shoes) ชนิดที่เป็นหนังหรือยางแบบที่มีแผ่นยางกันลื่นที่ใต้พื้นรองเท้า และรองเท้าแตะรัดส้นที่มีพื้นยางประเภทที่เกาะพื้นถนนได้ดี หรือรองเท้าผ้าใบแบบที่ช่วยกันน้ำได้ รวมถึงรองเท้าบูทยางแบบใส่ลุยฝน ฯลฯ นอกจากนี้ บริเวณ “พื้นรองเท้า” ควรเลือกรองเท้าที่ยึดเกาะพื้นผิวชนิดต่างๆ ขณะเปียกได้ดี และควรเลือกพื้นแบบที่มีลาย หรือพื้นผิวขรุขระซึ่งน่าจะเกาะพื้นผิวได้ดีกว่า ขณะเดียวกันหากมีรองเท้าอยู่แล้วแต่กลัวลื่นก็ควรนำไปที่ร้านรองเท้าเพื่อให้ติดแผ่นยางกันลื่น ส่วน “พื้นด้านในรองเท้า” ควรเป็นแบบที่ใส่แล้วกระชับกับฝ่าเท้าไม่ลื่น และมีความอ่อนนุ่มพอประมาณ แต่ไม่ควรจะนิ่มเกินไป เพราะอาจทำให้เมื่อยได้ง่ายเมื่อต้องเดินระยะยาว ขณะเดียวกัน “ลักษณะรองเท้า” ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้น หรือรัดส้นที่ใส่แล้วรู้สึกกระชับกับหลังเท้า หลีกเลี่ยงรองเท้าหัวแหลม เนื่องจากบีบปลายนิ้วเท้า ทำให้เท้าผิดรูป และที่ขาดไม่ได้คือ “ส้นรองเท้า” ควรหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นเข็ม เนื่องจากต้องเกร็งขณะเท้าเพื่อพยายามทรงตัว ทำให้เมื่อยยิ่งขึ้น ซึ่งส้นรองเท้าที่ทำจากยางดีกว่าไม้แข็งๆ เพราะช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ 

แต่หากสาวๆ คนไหนที่อยากอวดเรียวขาเซ็กซี่ด้วยส้นสูง ควรเลือกใส่ด้วยความระวังมากขึ้น โดยเลือกความสูงให้อยู่ที่ประมาณ 0.5 นิ้ว -1.5 นิ้ว เนื่องจากพื้นถนนที่มีความลื่น และเวลาเดินจะต้องคอยระวังเรื่องการทรงตัวเพราะเท้าจะเกร็งมากกว่าปกติ โดยลักษณะพื้นเท้าของเราจะเกร็งในลักษณะงุ้ม และจิกพื้น อาการเกร็งจะเกร็งไปถึงบริเวณข้อเท้าและน่อง หรือในบางครั้งถ้ามีน้ำเข้าไปในรองเท้าทำให้เท้าแฉะ จะยิ่งทำให้เดินลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าใส่รองเท้าที่ไม่มีสายรัดช่วงส้น จะต้องเกร็งเท้าเพื่อคอยประคองไม่ให้รองเท้าหลุดตลอดเวลา จะยิ่งเสียการทรงตัวได้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกรองเท้าส้นสูงที่มีลักษณะส้นใหญ่ เพราะจะช่วยกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ยืนและเดินได้อย่างมั่นคง ซึ่งรองเท้าส้นสูงที่ใส่สบายที่สุดคือ รองเท้าส้นเตารีดที่มีน้ำหนักเบา แต่การเลือกแบบที่สูงจนเกินไปก็ต้องระวังเรื่องข้อเท้าพลิกและวิธีที่ดีสำหรับสาวออฟฟิศที่ต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ แต่ก็ยังอยากสวยด้วยรองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว หัวแหลม ส้นเข็ม คือการมีถุงเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าถือ เพื่อใส่รองเท้าคู่สวยสลับกับรองเท้าคู่สบายนั่นเอง

ท้ายนี้ น.ส.อังค์สุมาลี แนะนำว่า “รองเท้าส้นสูง” เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสุดท้าย ที่สร้างความลงตัวให้ผู้หญิงก่อนออกจากบ้านไปทำงานหรือไปไหนๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเลือกเพียงเพราะความชอบในแบบสีหรือราคาเท่านั้น การเลือกรองเท้าส้นสูงก็ควรให้ความสำคัญทั้งรูปแบบ วัสดุต่างๆ ที่ประกอบในรองเท้า และความเหมาะสมของการหยิบแต่ละคู่มาใส่ในแต่ละโอกาสและพื้นที่ที่เดินทาง ระยะเวลาที่สวมใส่ด้วย เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าและปัญหาสุขภาพในระยะยาว

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับสุขภาพ ดื่มน้ำน้อย โอกาสอ้วนสูง

เคล็ดลับสุขภาพ ดื่มน้ำน้อย โอกาสอ้วนสูง
ดื่มน้ำ น้ำดื่ม

            เมื่อเราดื่มน้ำน้อย ไตจะทำงานหนักและขาดประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นเหตุให้ตับซึ่งปกติจะทำหน้าที่เร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายต้องมาทำหน้าที่แทนไต จึงทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วนได้ ทั้งนี้ ต้องควบคู่ไปกับการควบคุมดูแลการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วิธีการนี้จึงจะได้ผลดี
           หากจะกล่าวถึงสรรพคุณของน้ำ เราจะพบว่าน้ำสะอาดมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อาทิช่วยย่อยและดูดซึมอาหารรวมทั้งของเสียไปตามกระแสเลือด ช่วยในการสร้างปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นและรับการเคลื่อนไหวของเอ็นและข้อต่อต่างๆ ช่วยให้ปฏิกิริยาทางเคมีและการเผาผลาญอาหารในร่างกายเป็นไปตามปกติ รวมถึงการช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เหมาะสม

ทรงผม เคล็ดลับในการแต่งผม 4 วิธี

ทรงผม เคล็ดลับในการแต่งผม 4 วิธี

ทรงผม

     ในการแต่งผมให้ออกมาสวยอย่างใจคิดนั้น จำเป็นต้องใช้กลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ และนี่คือวิธี
     1. ซับให้แห้ง : ใช้เวลาซัก 10 นาทีในการใช้ผ้าขนหนูโพกศีรษะเอาไว้หลังสระผมเสร็จแล้ว เพื่อดูดซับน้ำส่วนเกินออกให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าคุณมีเวลาน้อย ก็ใช้ผ้าขนหนูบีบน้ำออกจากเส้นผม อย่าใช้ผ้าขนหนูถูไปถูมาเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกล็ดผมเปิดจนทำให้เส้นผมดูชี้ฟู
     2. ก่อนใช้ไดร์เป่าผม : อย่าลืมทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อน เพื่อป้องกันความเสียหาย และควรใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์พอ
     3. ผสมผสาน : ทำตัวเป็นนักทดลองโดยการผสมผลิตภัณฑ์แต่งผมโน่นนี่เข้าด้วยกัน อย่างเช่น ถ้าคุณต้องการเส้นผมที่มีน้ำหนักและเป็นเงางาม ก็ผสมมูสกับซีรั่มเข้าด้วยกัน หรือผสมเจลกับขี้ผึ้งเข้าด้วยกัน ถ้าคุณอยากให้ผมอยู่ทรงแบบไม่แข็งปั๋ง
     4. เวลาทาผลิตภัณฑ์ : ก็ควรทาจากด้านหลังมาด้านหน้า เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แต่งผมกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง โดยใช้ปลายนิ้วลูบลงบนเส้นผมเบาๆ และพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณโคนผม เพื่อไม่ให้เส้นผมลีบแบนลงมา

เคล็ดลับ บริหารกล้ามเนื้อตา

เคล็ดลับ บริหารกล้ามเนื้อตา
ดวงตา

     ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ การมีสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้คนต้องใช้สายตากันมากขึ้น เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกม ส่ง SMS ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าปวดเมื่อยตา Lisa จึงมีท่าบริหารตามาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ

     นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ ตามองที่ปลายจมูกโดยไม่เหลือบไปที่ใดและไม่กะพริบตา นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำซ้ำ 5 ครั้ง

      ศีรษะตั้งตรง มองตรงไปข้างหน้าสองตาเหลือบมองไปที่ไหล่ขวาโดยไม่ขยับศีรษะตาม นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้น ปิดตาเพื่อผ่อนคลาย ทำข้างซ้ายเหมือนข้างขวา ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง

      จินตนาการว่าคุณกำลังมองนาฬิกาเรือนใหญ่ โฟกัสตาไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกา ศีรษะไม่ขยับ ตาไล่มองตามเข็มนาฬิกา นับหนึ่งถึงสิบ ผ่อนคลายแล้วมองไปที่ศูนย์กลางของนาฬิกาใหม่ตามองไล่ตามเลขนาฬิกาอีกครั้ง นับหนึ่งถึงสิบ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

      นั่งห่างจากหน้าต่างประมาณ 200 มิลลิเมตร หรือ 6 นิ้ว โดยการทำเครื่องหมายที่กระจกหน้าต่างไว้ในระดับสายตา อาจใช้สติกเกอร์สีแดงหรือสีดำก็ได้ และให้คุณมองเหนือเครื่องหมายที่ทำไว้ ตาโฟกัสไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนับ 1 ถึง 15 จากนั้น ละสายตามองไปที่เครื่องหมายทำซ้ำ 5 ครั้ง

      ถือปากกาไว้ในมือ ยื่นแขนที่ถือปากกาไปข้างหน้าจนสุดแขน แล้วค่อย ๆ ถือปากกาเข้ามาจ่อที่จมูกช้า ๆ ตาโฟกัสที่ปากกาเท่านั้น จากนั้น ยื่นแขนที่ถือปากกาไปจนสุดแขนอีกครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

      นั่งสบาย ๆ แล้วกลอกลูกตาตามเข็มนาฬิกา 5 ครั้ง จากนั้น ทวนเข็มนาฬิกาอีก 5 ครั้ง

      ปิดตาแน่น ๆ นับ 1-5 จากนั้น เบิ่งตาให้กว้างที่สุด นับ 1-5 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

      ปิดตาสบาย ๆ จากนั้น ใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้วนวดตาเบา ๆ เป็นวงกลมอย่างระมัดระวังประมาณ 1-2 นาที

     เปิดตาและมองไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมายประมาณ 2-3 นาที ซึ่งทำได้ทุกวันโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์

เคล็ดลับบำรุงสายตากับ 5 สุดยอดผักที่บำรุงสายตา

ผักบำรุงสายตา


ปัญหาด้านสายตามักพบมากขึ้นในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ใช้สายตาอ่านหนังสือขณะแสงไม่เพียงพอ รวมถึงแสงจากแดด และลม ล้วนเป็นปัจจัยทำให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัย ดังนั้น ในแต่ละวันจึงควรหมั่นถนอม เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานที่สุด เริ่มง่าย ๆ ด้วยการทานผักที่ช่วยบำรุงสายตา อุดมวิตามินเอ ดังนี้

ผักบุ้ง แก้ตาฟาง หรือตาบอดกลางคืนได้ดี ลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะ และช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง
แครอท มีหลายสี เช่น เหลือง ม่วง ส้ม แต่ที่นิยมรับประทานคือสีส้ม บำรุงสายตา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในเวลากลางคืน หรือในที่แสงสว่างน้อย

ฟักทอง ช่วยในการมองเห็น ป้องกันเยื่อบุตาแห้ง และกระจกตาเป็นแผล

คะน้า มีลูทีนสูง โดยผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า รับประทานเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 20%

ตำลึง มีเบต้าแคโรทีน และแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อ แก้โรคตามัวตอนกลางคืน อย่างไรก็ตาม วิตามินเอมีความไวต่อออกซิเจน ดังนั้น หากจะทำเป็นผักต้ม ควรใส่น้ำปริมาณน้อย และปิดฝาภาชนะขณะต้ม จะช่วยป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดี

อย่าลืมใส่ผัก 5 ชนิดดังกล่าวลงในเมนูเป็นประจำ เพื่อดวงตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพนาน ๆ.

แต่งหน้า วิธีแต่งหน้า สไตล์เจ้าหญิง

แต่งหน้า วิธีแต่งหน้า สไตล์เจ้าหญิง
แต่งหน้า

Get the look วันนี้ ปุ้ยหยิบแรงบันดาลใจจากฤดูฝนมาแต่งสวยให้ดูกันค่ะ

          ถ้านึกถึงอารมณ์ของฤดูฝนแล้ว ก็คงต้องเป็นอารมณ์เหงาๆ เศร้าๆ ซึ้งๆ ใช่มั้ยล่ะ ปุ้ยก็เลยตั้งชื่อลุคนี้ว่า เจ้าหญิงแสนเศร้า โดยดึงอารมณ์ของฤดูฝนเข้ามาสร้างบรรยากาศความเหงา ด้วยโทนสีม่วงที่ดูดซึมเศร้าอย่างสีลูกพลัม และสีชมพูที่ดูอ่อนหวานแบบผู้หญิงๆ ผสานกับเทคนิคลูกเล่นของหยดน้ำตา และแก้มฉ่ำๆ ของสาวน้อยน่าสงสารที่ร้องไห้มาทั้งวัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มความหรูหราสไตล์เจ้าหญิงลงไปด้วย

          "ลุคเจ้าหญิงแสนเศร้าดึงอารมณ์ของฤดูฝนเข้ามาสร้างบรรยากาศความเหงา ด้วยโทนสีม่วงที่ดูซึมเศร้า และสีชมพูที่ดูอ่อนหวาน"
ผิวหน้า (Face) ผิวนวลเนียนด้วยรองพื้นเนื้อครีมที่เปลี่ยนเป็นเนื้อแป้งได้ เหมาะกับอากาศร้อน ๆ ชื้น ๆ ของฤดูฝนยิ่งนักตามด้วยแป้งฝุ่นเนื้อบางเบา ที่สามารถควบคุมความมันของผิวหน้าได้เป็นอย่างดี

          ดวงตา (Eyes) ดวงตาสีม่วงลูกพลัมที่ดูมีมิติด้วยการไล่โทนสีเข้ม และให้ความหรูหราด้วยอายชาโดวที่มีชิมเมอร์และกลิตเตอร์ จากนั้นเพิ่มลูกเล่นให้แววตาดูเหมือนมีน้ำตาเอิ่งนองตลอดเวลา ด้วยชิมเมอร์เนื้อละเอียดสีชมพูมุข ตามด้วยการให้เส้นขอบตาสีม่วงที่ดูหรูหรา กับแผงขนตายาว ๆ ที่ทำให้แววตาดูหวานขึ้น

          แก้ม (Cheeks) แก้มสีชมพูม่วง ปัดตรงตำแหน่งใต้ดวงตา ทำให้เหมือนแก้มที่แดงเพราะร้องไห้มาทั้งวัน

          เรียวปาก (Lips) เรียวปากสีชมพูหวาน ๆ และกลอสสีชมพูใส ๆ ทำให้ได้ลุคแบบผู้หญิ๊งผู้หญิง

          Lonely Princess เป็นลุคที่ดูแสดงให้เห็นเทคนิคการแต่งหน้าให้ดูหวานแบบเจ้าหญิง ๆ หรือแบบนางเอกในละครที่ชีวิตเธอดูแสนเศร้า รอคอยความรักที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาซักที ซึ่งสาว ๆ สามารถนำลุคนี้ไปใช้ได้ สำหรับใครที่ชอบการแต่งโทนหวาน และลุคนี้จะให้ตัวอย่างในการนำโทนสีม่วงที่แต่งยาก ๆ มาแสดงให้ดูกันว่า เราสามารถแต่งให้สีม่วงดูสวยหรูหราได้อย่างไร

          ฤดูฝน อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตกพรำบ้าง หนักบ้าง ยังไงก็ อยากให้สาว ๆ ดูแลตัวเองกันให้ดี ๆ พกร่มออกจากบ้านเป็นไอเท็มติดตัวในช่วงนี้กันด้วยนะคะ

มะเร็งมดลูก กินบิสกิต-เค้ก บ่อยเพิ่มโอกาสเป็น โรคมะเร็งมดลูก

                          มะเร็งมดลูก กินบิสกิต-เค้ก บ่อยเพิ่มโอกาสเป็น โรคมะเร็งมดลูก

ผู้หญิง


          งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า การทานบิสกิต เค้ก หรือขนมปังนิ่ม ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งมดลูกมากขึ้น 33% หากทานขนมหวานเหล่านี้อย่างต่ำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากทานมากกว่านั้นก็มีโอกาสล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับเนื้องอกมากขึ้น 42%

          ข้อค้นพบนี้มาจากการวิจัยนาน 10 ปีของมหาวิทยาลัยในสวีเดน โดยศึกษาพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้หญิง 6 หมื่นคน เพื่อศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างการรับประทานน้ำตาล กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก

          ทั้งนี้ ในแต่ละปีมีผู้หญิงอังกฤษเป็นโรคมะเร็งมดลูก 6,400 คน และเสียชีวิตเพราะโรคนี้ปีละ 1 พันคน ซึ่งโดยปกติโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมดลูก มีความเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัวของแต่ละคน แต่นักวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกาในกรุงสตอกโฮลม์ต้องการศึกษาเพิ่มว่า ปริมาณการรับประทานน้ำตาลมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งมดลูกหรือไม่

          งานนี้ นักวิจัยจึงได้ศึกษาข้อมูลจากผู้หญิงหลายพันคนในปี พ.ศ.2530 พร้อมทั้งสอบถามวิธีการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร ตรวจสอบน้ำหนักและสุขภาพ และทำเช่นเดียวกันในเวลา 10 ปีหลัง โดยผู้หญิงทุกคนจะถูกสอบถามว่า เติมน้ำตาลในเครื่องดื่มร้อนทั้งชาและกาแฟมากน้อยเพียงใด รวมทั้งรับประทานน้ำตาลผ่านอาหารอื่น ๆ หรือไม่
         เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการสอบถามมาเปรียบเทียบกับข้อมูลสุขภาพ นักวิจัยพบว่า อาสาสมัครหญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งในระหว่างการศึกษานาน 18 ปีมีถึง 729 คน และแม้งานวิจัยจะพบว่า การทานอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักบางประเภท เช่น ลูกอม น้ำหวาน น้ำอัดลม แยม เป็นต้น ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งมดลูก แต่การทานขนมหวานประเภทเค้ก ขนมปังนุ่ม และบิสกิต มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งถึง 42%

          งานวิจัยระบุถึงความบ่อยครั้งในการรับประทานขนมหวาน แต่ไม่ได้ระบุถึงจำนวนครั้งแต่อย่างใด ทว่างานวิจัยชี้ว่า การทานน้ำตาลเกินกว่า 35 กรัมต่อวัน (เทียบเท่ากับ 7 ช้อนชา) มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวกับเนื้องอกเพิ่มขึ้น 36%

          นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อาหารที่มีน้ำตาลสูงสร้างความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากเมื่อร่างกายมนุษย์มีน้ำตาลสูงเกิน ร่างกายจะผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้นเพื่อจำกัดน้ำตาลส่วนเกิน ซึ่งส่งผลให้การเจริญเติบโตของเซลล์ในช่องคลอดผิดปกติ และนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งในที่สุด ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า น้ำตาลจะกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีผลทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติ

          ด้าน ยินกา เอโบ ผู้จัดการอาวุโสแผนกข้อมูลสุขภาพจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอังกฤษ แนะนำว่า การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักสม่ำเสมอ เป็นวิธีการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ดีที่สุด เธอชี้ว่า แม้งานวิจัยชิ้นนี้จะบ่งชี้ว่า การทานน้ำตาลสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งก็ตาม เรายังจำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เพื่อยืนยันข้อสรุปที่ชัดเจนได้

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในยุคของการแข่งขัน ที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ชีวิตมีความรีบเร่งมากขึ้น จนไม่ค่อยมีเวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่อง ความสมดุลของอาหารที่รับประทานรวมทั้งค่านิยมการรับประทานอาหารแบบตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ไขมัน นม เนย เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนไทยมีโรค ซึ่งเกิดจากการกินดีเกินไป เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับความเสื่อมของหลอดเลือด
                ในปัจจุบันชาวตะวันตกเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของการกินอาหาร ซึ่งไม่สมดุลได้มีการชักชวนให้ลดการรับประทาน เนื้อสัตว์ นม เนย ให้เพิ่มการรับประทาน พืช ผัก และธัญพืช ซึ่งอุดมด้วยเส้นใยจากธรรมชาติ และวิตามิน
                 ในวัยเด็ก เนื้อสัตว์และนม ยังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตในวัยผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนลดลง การรับประทานเนื้อสัตว์ และนมมากเกินไปยังทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่ม เนื่องจากในเนื้อสัตว์และนมจะมีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์มาก ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้สงูควรเปลี่ยนแปลงมารับประทานโปรตีนจากพืชพวกถั่วแทน
                  อาหารอีกกลุ่มซึ่งไม่ควรรับประทานมากเกินไป คือ น้ำตาล พบว่าน้ำตาลทำให้หลอดเลือดมีความเสื่อมเร็วขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจะพบว่าหลอดเลือดแก่ก่อนวัย ไขมันก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรจำกัด และใช้น้ำมันจากพืชแทน น้ำมันจากสัตว์ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีโคเรสเตอรอลสูง
                  อาหารที่ควรรับประทานคือ ผัก ผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เพราะอุดมไปด้วย กากใยธรรมชาติ วิตามิน และเกลือแร่ สุขภาพของเราขึ้นกับกรรมพันธุ์ การออกกำลังกายและอาหาร เราควรเริ่มเอาใจใส่กับอาหารที่รับประทานเสียแต่วันนี้ รอให้เกิดโรคก่อนอาจไม่ทันการ
                 Functional Food หรืออาหารเพื่อสุขภาพ หมายถึง อาหารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือจากสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้อาจช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคต่างๆ
ปัจจุบันอาหารเพื่อสุขภาพ ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ทั้งในด้านการวิจัยและเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นมูลค่ามาก ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับอาหารและสุขภาพมากขึ้นจึงทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ เช่น การเสริมวิตามิน,เส้นใยและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

แอโรบิค แดนซ์ เพื่อสุขภาพ



แอโรบิค แดนซ์(Aerobic Dance) หรือ แอโรบิคส์(Aerobics) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการออกกำลังกายยืดเหยียดประกอบจังหวะเพลงโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปกติจะเล่นกันเป็นกลุ่มโดยมีผู้นำและสามารถเล่นเป็นคนเดี่ยวโดยไม่มีเพลงประกอบได้
ได้มีการนำการออกกำลังกายหลากหลายท่าทางเข้ามาประยุกต์ประกอบจังหวะเพลงอย่างเป็นชุดของท่าทางต่างๆทำให้เกิดความสนุกสนานและเป็นการได้เหงื่อไปในตัว อาจมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ได้จำแนกท่าทางจากเกณฑ์ความยากง่ายโดยผู้ให้คำปรึกษา เป็นระดับเบื้องต้น กลาง และระดับชำนาญแล้ว และเหตุด้วยที่แต่ละระดับมีความยากง่ายแตกต่างกัน การแบ่งเป็นออกระดับย่อยนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลใน
แต่ละระดับ สามารถให้คำปรึกษาและแก้ไขปรับปรุงท่าทางได้
แอโรบิคส์จัดให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการออกกำลังการเพื่อการลดน้ำหนัก ปกติได้นำมาเล่นเพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขภาพและไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในการฝึกฝนเหมือนในระดับยิม โดยปกติแล้วผู้หญิงเล่นบ่อยกว่าผู้ชาย แม้ว่าจะเป็นการเล่นประกอบเพลง แต่ก็มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนการเต้มประกอบเพลงทั่วไป

โยคะเพื่อสุขภาพ



ความหมายของโยคะ
โยคะเป็นคำสันสกฤตหมายถึงการรวมให้เป็นหนึ่ง โยคะจะรวมกาย จิต วิญาณให้เป็นหนึ่งทำให้เรามีสติและอยู่บนพื้นฐานของความจริงของชีวิต

โยคะไม่ใช่ศาสนา เพราะมีโยคะบางชนิดไม่เกี่ยวกับศาสนาแต่ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานของความเชื่อและแนวทางปฏิบัติของศาสนา การฝึกโยคะคือการฝึกการปลอดปล่อยจากสิ่งลวงตาและการหลงผิด
การฝึกโยคะเป็นฝึกการเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งร่างกายและจิตวิญาณ นอกจากจะเปลี่ยนแปลงแล้วยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น
การฝึกโยคะจะประกอบไปด้วยส่วนที่สำคัญ 3 อย่างได้แก่ การออกกำลังกายหรือการฝึกท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ การทำสมาธิ การฝึกท่าโยคะจะกระตุ่มอวัยวะและต่อมต่างๆในร่างกายทำงานดีขึ้นสุขภาพจึงดีขึ้น การหายใจเป็นแห่งก่อให้เกิดพลังของชีวิต การควบคุมการหายใจจะทำให้จิตใจและสุขภาพดีขึ้น การฝึกท่าโยคะและการหายใจจะเป็นพื้นฐานในการทำสมาธิ หากท่านได้ฝึกทั้งสามอย่างจะทำให้ผู้ฝึกมีสุขภาพที่แข็งแรง จิตใจผ่องใสและเข็มแข็ง

ชนิดของโยคะ
1. Raja-Yoga (the royal path of meditation)เป็นโยคะที่เน้นการเข้าฌาณเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งต้องการความสงบทั้งร่างกายและจิตใจ ข้อดีของการฝึกโยคะชนิดนี้คือฝึกง่ายมีวิธีปฏิบัติที่แน่นนอน เป็นการฝึกแบบวิทยาศาสตร์ ผู้ฝึกจะได้ความสงบและปัญญา ข้อเสียคือการฝึกจะต้องใช้เวลามากอาจจะทำให้ผู้ฝึกต้องแยกตัวเองออกจากสังคม
2. Karma-Yoga (the path of self-transcending action)เป็นโยคะที่เกี่ยวข้องกับศาสนามากที่สุด มีการยึดเหนี่ยว พิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้า มีการสวด มีการเข้าเข้าฌาณ เทพเจ้าที่บูชาได้แก่ พระวิษณุเป็นต้นข้อดีคือผู้ฝึกจะไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีฐิติ ทำงานบริการได้ดี
3. Bhakti-Yoga (the path of devotion) เป็นโยคะสำหรับผู้ต้องการเสียสละ
4. Jnana-Yoga (the path of wisdom) เป็นโยคะแห่งปัญญา เน้นเรื่องความจริง Realityเป็นหนึ่ง โลกที่เราคุ้นเคยมักจะมีภาพลวงตา เช่นการเห็นเชือกเป็นงู การที่จะทราบจะต้องเพ่งพินิจ การที่เราเห็นผิดเป็นชอบเรียกมายา(maya)หรือหลงผิด การแก้การหลงผิดสามารถทำได้โดยการปลีกวิเวก(viveka)เมื่อรู้ว่าอะไรไม่จริงก็สละสิ่งนั้น
5. Tantra-Yoga (which includes Kundalina-Yoga) เป็นโยคะที่รวมหลายชนิดของโยคะรวมกัน Tantra-yoga สอนให้รู้จักด้านมืดของชีวิต เน้นพิธีการบวงสรวง เน้นการเข้าฌาณเพื่อปลุกพลังภายในร่างกาย Tantra-yoga เน้นการประสานกายและพลังจิต
6. Mantra-Yoga (the path of transformative sound) เป็นโยคะที่ไม่ซับซ้อน เน้นการสวดภาวะนาและกล่าวคำว่า โอม
7. Hatha-Yoga (the forceful path of physical self-transformation) จุดประสงค์โยคะนี้เป็นการเตรียมร่างกายเพื่อให้มีพลังที่จะบรรลุสู่ความสำเร็จจะต้องประกอบด้วยการออกกำลังและฝึกลมปราณ การฝึกโยคะนี้จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง อดทนต่อความหิว ร้อน หรือหนาว เมื่อร่างกายและจิตใจแข็งแรงก็ทำให้ผู้ฝึกเข้าถึงสมาธิฌาณได้ง่าย

ประโยชน์ของการฝึกโยคะ
การฝึกโยคะดั้งเดิมต้องการค้นหาความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ใช่เกิดจากความพอใจหรือความรื่นรมย์ การฝึกโยคะจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีความสมดุลของระบบประสาท และมีรู้ความหมายแท้จริงของชีวิต จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวตามสิ่งแวดล้อม ไม่เสียใจ ไม่ดีใจเกินไป เป็นการฝึกจนเกิดปัญญา แต่ปัจจุบันได้นำมาฝึกเพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้
+ ช่วยให้เลือดไหวเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
+ ช่วยผ่อนคลายความเครียด และอาการปวดเมื่อย
+ ช่วยทำให้รูปร่างและทรวดทรงดีขึ้น รวมทั้งการทรงตัว
+ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น
+ ทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น
+ ทำให้มีสติดีขึ้นรู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร
+ ทำให้ใจเย็นลง
+ ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน